ลูเซีย
ลูเซีย คุณแม่ลูกสองวัย 44 ปี จากอิตาลี
เธออาศัยอยู่ในเขตอิจาลีตอนใต้ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นส่วนที่ล้าหลัง ห่างไกลความเจริญ และยากจน และแน่นอนเป็นเขตชุมชนที่ไม่ได้รับการศึกษาเสียเท่าไหร่ จึงเอนเอียงไปในความเชื่อทางไสยศาสตร์มาก
เรื่องของลูเซียเริ่มต้นขึ้น จากการที่ชายคนหนึ่งมาหลงรักเธอ แต่เธอตอบปฏิเสธเขาไป ด้วยความแค้นและความต้องการอย่างแรงกล้า ชายคนนั้นจึงหันไปพุ่งคุณไสย ทำอาคมไสยศาสตร์ใส่ลูเซีย ซึ่งในตอนที่เกิดเรื่องนั้นเป็นปี 1986
หลังถูกคุณไสยเล่นงาน
ลูเซียก็ประสบทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก และจากความเจ็ดปวดนี่เอง ก็หนักหนาสาหัสรุนแรงจนถึงขนาดทำเธอเดินต่อไม่ได้ เช่นเดียวกับน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอผ่ายผอมและมีสุขภาพทรุดโทรมลง
เธอพยายามหาสาเหตุจากการไปตรวจเช็คสภาพร่างกายจากโรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เธอยังคงล้มป่วยทรุดลงเรื่อยๆ พร้อมกับสาเหตุที่ยังไม่อาจหาได้ สิ่งเดียวที่นายแพทย์ตรวจพบคือ เธอมีอาการเลือดออกภายในอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เป็นเวลาไม่นานนักที่อาการของเธอได้ทรุดหนักลงจนถึงเข้าขั้นโคม่า
เธอต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 2 เดือน จนเมื่อเธอมีอาการดีขึ้นจนพอรู้สึกตัวหรือขยับไปมาได้บ้าง เธอได้ตัดสินใจติดต่อหาบาทหลวง เพื่อขอรับความช่วยเหลือในทันทีผ่านพิธีมิสซา
แต่ในการร่วมพิธีมิสซาของเธอ เธอกลับยิ่งรู้สึกย่ำแย่มากขึ้น
เธอมักจะหมดสติล้มลงอยู่บ่อยๆ ในระหว่างมิสซา และเธอเชื่อว่านี่เป็น
“สัญญาณของการถูกผีสิง”
คนที่เคยมาเยี่ยมดูอาการเธอเล่าว่า เธอมักจะหมดสติ ตกอยู่ในภวังค์เองบ่อยๆ หลายๆ ครั้ง ระหว่างเธอกำลังพูดอยู่ สำเนียงและน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน และหลายครั้งก็เป็นภาษาที่เธอเองก็ไม่รู้จัก รวมถึงอาการคลุ้มคลั่งและพละกำลังที่เหนือมนุษย์ ขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรง 2 คนช่วยกันจับเธอจึงจะยอมสงบได้
มีครั้งหนึ่ง เธอเคยอาเจียนออกมาเป็นเข็ม ซึ่งบาทหลวงเชื่อว่า นี่เป็นเครื่องหมายของการทรมานที่กระทำโดยพวกผีปีศาจ
“เรารู้ว่าคนอื่นหาว่าเราบ้า”
เรนโซ่ สามีของ ลูเซีย กล่าว
“เรื่องพรรค์นี้ คุณจะไม่เชื่อมันเลย จนกว่ามันจะประสบกับคุณเอง”
ซาตานพยายามทำให้ทุกคนคิดว่าลูเซียเป็นบ้า มีอาการป่วยทางจิต เพื่อที่ว่าผู้คนรอบตัวเธอจะได้พาเธอไปหาแพทย์ ไปหาจิตแพทย์ แทนที่จะไปหา พระ หรือ บาทหลวง แต่เป็นการดีที่ครอบครัวเธอไม่หลงติดกับตรงนั้น และพยายามชักจูงเธอให้ไปหาบาทหลวงบ่อยๆ
ลูเซีย เคยพยายามฆ่าตัวตาย 3-4 ครั้ง เธอกล่าวว่าปีศาจในตัวเธอบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำเช่นนั้น
เธอกลายเป็นคนเป็นโรคซึมเศร้า จิตหดหู่ เฉื่อยชา ไร้ชีวิตชีวา ไม่สามารถไปทำงานหรือใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมปกติได้ และเธอไม่สามารถเข้าโบสถ์โดยไม่ได้เป็นลมไปก่อน หรืออาเจียนออกมาก่อน
บาทหลวง ทาราบอเรลลี เป็นผู้พยายามให้ความช่วยเหลือกับลูเซีย
โดยมาทำพิธี และสวดภาวนาพร้อมกับเธอบ่อยๆ และหลังจากความพยายาม 12 ปี
ลูเซียก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้น และแน่นอน มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
“มีบาทหลวงจำนวนมากที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ พวกเค้าคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าอากรป่วยทางจิตธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาทหลวงในอมเริกาและอังกฤษจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ปรากฏแต่ในยุคกลางเท่านั้น”
ทาราบอเรลลีกล่าว
ในปี 2004 ลูเซียมีอาการดีขึ้นมาก
เธอกล่าวว่าเธอไม่ต้องรับการ Exorcism อีกต่อไปแล้ว และจิตชั่วร้ายที่สิงเธอก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว หากแต่เธอยังต้องปฏิบัติกิจการสวดภาวนาเป็นประจำอยู่
แต่ 1 ปีหลังจากนั้น
ทั้งหมดกลับเลวร้ายลง
ลูเซียล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เธอขาดจากการพบกับบาทหลวง และซ้ำร้ายกว่านั้น เธอหายตัวตัดขาดกับเรื่องทางพระออกไป
เรื่องนี้ทำให้ ทาราบอเรลลีเป็นวิตกกังวลมาก
เขาไม่ได้พบกับลูเยมาเป็นเวลาร่วม 2 เดือน และใครก็ตามที่อยู่ในสภาพอย่างเธอต้องการการดุแลปกป้องมากเป็นพิเศษ
เพราะผู้ป่วยที่พึ่งฟื้นจากไข้ ยังมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ ต้องการยาและการดูแลเป็นพิเศษเยี่ยงไร
ผู้ที่พึ่งฟื้นจากการถูกผีสิง ก็ย่อมต้องการการสนับสนุนทางจิตวิญญาณมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสวดภาวนาอันเป็นยาที่ดีที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ลูเซียยอมกลับมาหาบาทหลวงและรับการฟื้นฟูอีกครั้ง
เธอได้รับการ Exorcism จนไม่ถูกผีสิงอีกแล้ว หากแต่บรรดาจิตชั่วร้ายเหล่านั้นยังคอยรังควาญ รบกวน และ “ประจญ” เธอ ชนิดไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ อยู่
เธอในสภาพที่พึ่งฟื้นจากการถูกสิงยังอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไม่ได้สวมอาวุธยุทธภัณฑ์ในการต่อสู้กับจิตชั่วร้ายเหล่านั้น เธอจึงอ่อนแอไม่อาจต้านทานอะไรพวกมันได้ แต่โดยอาศัยการสวดภาวนา และการเข้าพบบาทหลวงเป็นประจำ อาการของเธอก็เริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้งหนึ่ง
จิตชั่วร้ายเหล่านั้นหันไปเล่นงานคนใกล้ตัวเธอแทน
พ่อ แม่ และ น้องสาวของเธอเริ่มล้มป่วยลงตั้งแต่เธอกลับไปหา Exorcist อีกครั้ง
แต่ทุกคนก็ยืนหยัด แม้จะยังทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยของโรคร้าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรนโซ่ สามีของเธอ ขอให้เธอยืนหยัดอดทนสู้ต่อไปโดยไม่ต้องห่วงพวกเขา
อย่างน้อยเขาก็ดีใจที่รู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอะไร และดีใจที่เธอไม่ได้ป่วยเป็นโรคทางจิตแต่อย่างใด
ในที่สุดหลังการสวดภาวนาและการประกอบศาสนกิจอย่างเป็นประจำกับบาทหลวง
เมฆร้ายและช่วงเวลาที่เลวร้ายที่ปกคลุม ลูเซีย ก็ดูเหมือนจะพัดผ่านไปอย่างสมบูรณ์
ลูเซีย และ ครอบครัวร่าเริงสดใส
เธอสามารถเดินเหินไปไหนมาไหน และพูดคุยกับทุกคนกับใครต่อใครได้อย่างปกติดีสุข ผิดกับเมื่อหลายปีก่อน ที่เธอเป็นอัมพาต และแค่ได้ยินเสียงของบาทหลวงก็คลุ้มคลั่ง และลงไปดิ้นหรือหมดสติยามเข้าใกล้ศาสนสถาน
ทั้งหมดจะผ่านพ้นไปไม่ได้เลยหากขาดซึ่งการสวดภาวนา ความเชื่อ และเหนือสิ่งอื่นใด พระเมตตาของพระเจ้า ที่มีชัยเหนือปีศาจ จิตชั่วร้ายเสมอ
เรียบเรียงจาก นิวมานา