บ่ายวันศุกร์ คาเธริน่ากำลังสารภาพบาปกับบาทหลวงอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องชำระล้างตัวตนให้บริสทธิ์จากบาปก่อน เพื่อให้การไล่ผีมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คาเธริน่า เป็นผู้ป่วยอีกคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกผีสิง ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่อาการของเธอแสดงออกมา คุณพ่อ เอเฟรม ก็จะทำการสวดภาวนาไล่ผีให้ และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็กลับไปเป็นอย่างเดิมอีก เป็นประจำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน่าทุกขเวทนา

ที่บ้านของเธอ หน้าบ้านเธอจะโรยเกลือไว้หน้าประตู เกลือนี้เป็นเกลือที่เสกแล้ว และมันช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
ขณะที่พิจารณาถึงบ้านและห้องที่ถุกจัดเรียงแบบปกติทั่วไป ร่วมกับชีวิตที่ดูปกติสุขดีของหญิงสาวผู้นี้แล้ว
เป็นการยากที่จะเชื่อว่าเธอเป็นเหยื่อที่ถุกจิตชั่วร้ายตามรังควาญมานานเป็นเวลาหลายปี

คาเธริน่าได้รับการไล่ผีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง
เริ่มตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
การไปรับพิธีการไล่ผี การไปร่วมกลุ่มภาวนา เกิดแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งอาจเปรียบได้กับการกายภาพบำบัดของผู้ประสบอุบัติเหตุ ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายปี และแต่ละครั้งก็เพื่อให้ผู้ป่วยมีสภาพที่ดีขึ้น เพียงแต่นี่เป็นการบำบัดทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางกายภาพ

ในกระเป๋าของคาเธริน่า ประกอบไปด้วย เกลือเสก, ขวดน้ำเสก, ขวดน้ำมันเจิม, หนังสือบทภาวนาเล็กๆ, ภาพพระเยซู ภาพแม่พระ และบรรดานักบุญทั้งหลาย

โดยที่เธอจะนำ เกลือเสก น้ำเสก ไปพรมในสถานที่ที่เธอทำงาน  หรือ สถานที่ที่เธอต้องไปเยี่ยมเยือน เช่น สถานพยาบาล สถานทนายความ หรือ สตูดิโอ  ส่วนน้ำมันศีลเจิมไว้ใช้ขับไล่จิตชั่วร้ายที่มาในยามขับขัน

จิตแพทย์เชื่อว่าเธอป่วยเป็นอาการทางจิต จากความเชื่อที่ว่ามีอำนาจภายนอกมามีอิทธิพลเหนือเธอ และอาการเธอจะดีขึ้นหรือมไข้นกับตัวเธอเองเท่านั้น แต่เธอไม่เคยสนใจคำพูดเหล่านั้นเลย เพราะเธอรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เธอเผชิญอยู่ คือ อะไรกันแน่  ไม่เรื่องทางวัตถุ อาการทางจิต หรือ อะไรที่สามารถอธิบายได้ทางการแพทย์ หรือ จิตแพทย์คนใดจะช่วยเยียวยาได้

จิตแพทย์คนสุดท้ายที่เธอไปพบ กล่าวว่า
“อาการของเธอเป็นอาการบกพร่องทางจิต บุคลิคแตกแยก การกังวลเกินเหตุ เป้นวิตกจริต การบกพร่องความสามารถในการควบคุมอารมณ์เกินขีดระดับปกติ จิตประสาทบกพร่อง พยายามสร้างภาพหลอน จินตนการฝันเฟื่องไปเอง  และเป็นพวกจิตระแวงต่อคนรอบข้าง  มักที่จะผสมผสานจินตนการเพ้อฝันเข้ากับความเป็นจริง”

คาเธริน่า หัวเราะเยาะกับการวินิจฉัยอาการที่เธอได้รับ เธอประชดประชันว่าเธอเป็นทั้งหมดนี้จริง เธอคงต้องถุกจับไฟฟ้าช็อตไปแล้ว
ซึ่งอาการทั้งหมด ได้รับการสรุปว่าเธอเป้นพวกบุคลิกแตกแยก สร้างตัวตนอีกตัวขึ้นมา เป็นตัวตนที่เผ้อฝันจากจินตนการที่เชื่อว่าถุกผีสิง ซึ่งความเป้นจริงที่เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่

คาเธริน่า มาตระหนักเชื่อว่าเธอถูกจิตชั่วร้ายตามรังควาญ ถุกผีสิงอยู่  ในช่วงปี 1998
ชีวิตในช่วงนั้นของเธอเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน พฤติกรรมอันผิดศีลธรรม ความคิดอันไม่บริสุทธิ์ การติดเหล้าติดยา

คาเธริน่า มาจากครอบครัวคาทอลิกที่ขึ้นชื่อว่าศรัทธา แต่หาได้ปฏิบัติกิจพิเศษใดต่อพระเจ้าไม่ นอกจากการเป็นคาทอลิกธรรมดาตามทะเบียน
คาเธริน่า ได้รับการล้างบาปตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกอยู่ แต่เริ่มห่างเหินจากโบสถ์ไปเรื่อยๆ เมื่อเธอเติบโตขึ้น และเมื่อเธอโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็สูญเสียความมั่นคงทางจิตวิญญาณ และแสวงหาซึ่งความหมายในการมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่พบ และไม่เคยพอใจกับชีวิตในแต่ละวันเลย

เธอมีแฟนคนหนึ่ง

และจากแฟนของเธอ เธอได้รับการแนะนำเรื่องการดูหมอ ดูดวง การทำนายทายทัก ไพ่ทาโรต์ และพิธีกรรมนอกรีต คุณไสยต่างๆ
เพื่อเป็นการแสวงหาสิ่งเติมเต็มให้กับชีวิตของเธอ และเมื่อไม่พบ เธอก็หันเหหาพุทธศาสนาแทน  แต่สุดท้ายเธอก็ยังพบแต่ความทุกข์ ความว่างเปล่า อ้างว้างในชีวิตอยู่ดี สุดท้ายก็หันหายาเสพติด และ สุรา และกลายเป็นคนติดเหล้าติดยาไป

ในปี 1994 เธอคบแฟนคนใหม่ และเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือจริงๆ จังๆ

เธอได้รับการบอกกล่าวถึง มิสซาเพื่อการปลดปล่อย  ซึ่งทั้งเธอและแฟนของเธอได้เข้าร่วมพิธีด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งคู่เข้าร่วมมิสซา และ สวดสายประคำอย่างร้อนรน มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองใหม่โดยสิ้นเชิง

แต่กระนั้นก็ดี ความทุกข์ ความกังวล ความซึมเศร้า ที่ฝังลึกในจิตใจของเธอก็ยังไม่จางหายไป
นอกจากนี้เธอมักจะเกิดปฏิกริยาแปลกๆ ระหว่างร่วมมิสซา คือ เธอมักจะเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน  หรือ กรีดร้องระหว่างพิธีมิสซา และหลายครั้ง เธอถึงกับกระเด็นล้มลงจากเก้าอี้ สลบลงบนพื้นเลยทีเดียว

ตอนแรกเรื่องการถูกผีสิงเหมือนเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ
แต่เมื่อเธอประสบสิ่งนี้มาหลายต่อหลายครั้ง
เธอก็เริ่มเชื่อ และแสวงหาการไล่ผีจริงๆ จังๆ

และในที่สุด เธอก็ได้พบกับ Exorcist และเริ่มเข้าโปรแกรม Exorcism เพื่อขับไล่จิตชั่วร้ายในตัวเธอ

คาเธริน่าเริ่มรับพิธีไล่ผีโดยบาทหลวง เอเฟรม

บาทหลวงเอเฟรม เตรียมตัวโดยการตื่นตั้งแต่เวลาตี 3 45 นาที และ สวดภาวนาเตรียมความพร้อมเป็นชั่วโมง
ท่านทำงาน Exorcist มาได้ 12 ปีแล้ว และท่านมักจะสารภาพบาปอยู่เป็นนิตย์ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อทำให้ตัวของท่านสะอาดเพียงพอที่จะต่อสู้กับปีศาจและจิตชั่วร้ายได้

“ถ้าปีศาจแลเห็นว่าข้าพเจ้ามีบาป มันก็จะรู้”
บาทหลวง เอเฟรม กล่าว

“มีเพียงความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะขับไล่ปีศาจไปได้”

เอเฟรม บอกว่า
เขาตระหนักถึงการคงอยู่ของปีศาจในระหว่างประกอบพิธี Exorcist  แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าความรู้สึกเช่นนั้นเป้นเช่นไร
ในตอนท้ายของพิธี เขาสัมผัสได้ถึงแสงสว่างที่ส่องสว่างลงมา ณ สถานที่นั้น พร้อมกับการยึดติด ของปีศาจที่ได้อ่อนแอลงไป

“ปีศาจอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ในตอนแรก มันขัดขืน ตะโกนร้อง และ โต้ตอบกลับ
แต่หลังเสร็จพิธี มันก็อ่อนแรงลงมากอย่างเห็นได้ชัด”
เอเฟรมกล่าว

การไล่จิตชั่วร้ายออกจาก คาเธรีน่า ไม่สามารถทำได้สำเร็จในครั้งเดียว
หากแต่ต้องอาศัยการ Exorcist เป็นประจำ เป็นระยะเวลานาน เหมือนกับการกายภาพบำบัดที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้อาการดีขึ้นเรื่อยๆ

หลายๆ ครั้งระหว่างพิธี คาเธริน่า มีท่าทีก้าวร้าว น้ำเสียงเปลี่ยนไปมาเหมือนมีหลายโทนเสียงสูงต่ำพูดสลับกันไปมา พร้อมสบถถ้อยคำอันชั่วร้ายใส่เอเฟรม
แต่ในทุกครั้งที่พิธีสิ้นสุดลง ความก้าวหน้าก็เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นกับคาเธริน่า และความก้าวร้าว และ อาการที่รุนแรงก็ลดลงตามระดับเรื่อยๆ

คาเธรีน่าเคยพูดถึงความรู้สึกที่ถูกปีศาจสิงว่า

“มันให้ความรู้สึกหนัก 
ให้ความรู้สึกถึงการคงอยู่ของจิตชั่วร้ายนั้น
ให้ความรู้สึกถึงสัมผัสถึงมันได้
ราวกับว่าจะจับต้องมันได้

มันให้ความรู้สึกหนัก
จึงเป็นการยากที่จะลุกขึ้นได้
ราวกับมีตะปูตอกอยู่ตามตัว”

หลายครั้งระหว่าง คาเธริน่า กล่าวถึงจิตชั่วร้ายที่สิงเธอ หรือกล่าวว่าพระเยซูและบาทหลวงได้มาช่วยให้เธอพบความบรรเทาเช่นไร
เธอมักจะเกิดอาการชักอย่างฉับพลัน และล้มลงกับพื้น
เอเฟรมที่มักอยู่ใกล้ๆ กับเธอ จำต้องหยิบไม้กางเขนมาแนบข้างตัวเธอ และ สวดภาวนา
เธอจึงจะมีอาการดีขึ้น แต่ก็มิอาจพูดอะไรได้ต่อในเวลานั้น หรือหากสามรถเปล่งเสียงได้ ก็เปล่งออกมาเป็นเสียงที่แหบแห้ง ทุ้มต่ำ

“ปีศาจมันอยู่ที่นี่”
เธอกล่าว

“มันไม่ต้องการให้ฉันพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
มันไม่ต้องการให้คนรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน”

เรียบเรียงจาก นิวมานา