มงซินญอร์ สเตเฟน โรเซตตี ประธานและผู้ก่อตั้ง ศูนย์ฟื้นฟูจิตวิญญาญเซนต์ไมเคิล องค์กรไม่แสวงหากำไรซึ่งมีพันธกิจในการขับผี เป็นจิตแพทย์และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแคทอลิกสหรัฐอเมริกา
มีผลงานหนังสือชื่อ “Diary of an American Exorcist: Demons, Possession, and the Modern-Day Battle Against Ancient Evil” ตีพิมพ์เมื่อมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมา
ได้เขียนถึงแผนการณ์ของปีศาจในยุคสุดท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่าดังนี้
ซาตานนั้นทำงานอย่างมีระบบ ระเบียนและแบบแผนอย่างแยบยล เหมือนระบบการทหารที่มีมีผู้บัญชาการ หน่วยรบด่านหน้า และ ทัพหลัง แต่ว่าการที่มนุษย์จะเข้าใจและแยกแยะแผนการณ์ของมันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเป้าหมายของมัน คือ การเปลี่ยนโลกนี้ให้เต็มไปด้วยความทุกข์ และ ให้เป็นนรกของมัน
มงซินญอร์ระบุถึงปีศาจที่ชื่อ Evil one (น่าจะเป็นสมญานาม เพราะการเอ่ยนามปีศาจโดยตรงนั้นอันตรายมาก) ว่า มันมีแผนการดังนี้
- ทำลายครอบครัว
การทำลายครอบครัวเกิดขึ้นอย่างมากที่สุดในตอนนี้ ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดย Evil one พุ่งเป้าทำลาย ‘พระศาสนจักรในบ้าน’ ซึ่งก็คือ ครอบครัว
โดยมันเปิดทางและล่อหลอกให้ สามีและภรรยาต่างมีชู้ นอกใจซึ่งกันและกัน และ นำมาซึ่งปัญหาหย่าร้าง การทะเลาะ การฆ่ากัน การจงเกีลียดจงชัง ความขมขื่นในจิตใจ เพื่อจะให้เยาวชนได้ซึมซับความทนทุกข์ และ กลายเป็นคนที่ไม่ดี - โจมตีพระศาสนจักร
Evil one มุ่งเป้าไปที่บาปทางเพศของพระสงฆ์ ความโลภในทรัพย์สิน ความยึดติดในเนื้อหนังทางโลก ตำแหน่งในพระศาสนจักร โดย Evil One เปิดทางให้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องผ่านเหตุการณ์ต่อต่ายพระศาสนจักรคาทอลิกมากกว่า 300 ครั้ง การทำลายรูปปั้นศิลปะทาง, การเผาวัดคาทอลิก, การทำลายป้ายหลุมศพ, การก่อกวนในรูปแบบอื่น ๆ
ในความคิดเห็นของผู้เขียน การเกิดขึ้นของลัทธิแตกย่อยของโปรแตสแตนท์ ที่โจมตีว่าร้ายพระสันตะปาปา (ซึ่งมีมายาวนานแล้วเกือบ 200 ปี) ว่าเป็นสัตว์ร้ายในวิวรณ์ และ คริสตจักรในไทยจำนวนมาก ก็ยังคงนำมาเผยแพร่
ทั้ง ๆ ที่ บรูโน่ ได้เป็นประจักษ์หลักฐานว่า การเดินทางไปในทางนั้นเป็นเรื่องที่โป้ปด - ทำลายความเชื่อ
Evil one สร้างสถานการณ์ที่ทำให้ความเชื่อถูกทำลายอย่างแนบเนียน เช่น มันมอบอำนาจคลุมเครือในการแสดงปาฏิหารย์ให้กับผู้นำกลุ่มที่แสวงหา เช่น รักษาโรคได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ฯลฯ ทำให้โลกตั้งคำถามว่า พระเจ้าไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ
สร้างสถานการณ์ประหลาดทางธรรมชาติและให้นักวิทยาศาสตร์อธิบายด้วยหลักฐานที่หลายครั้งเป็นเพียงทฤษฏี แต่ฟังแล้วน่าเชื่อถือ เพื่อให้โลกเชื่อว่า พระเจ้าไม่ได้มีอยู่จริง
ในความคิดเห็นของผู้เขียน คิดว่า การอภิปรายอย่างกว้างขวางเรื่องศาสนา จนทำให้เกิดความสับสนอลหม่าน เพราะว่าฟังทางใด ก็ล้วนแต่ดีและมีเหตุผล จนที่สุดก็อ่อนล้าต่อการค้นหาความเชื่อ แล้วก็สรุปว่า ‘ทุกศาสนาก็คือ ๆ กันหมด เป็นแค่ความกลัว เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น’ การที่ไม่มีศาสนา ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง - การขยายตัวของมนต์ดำ
มีการแตกตัวเพิ่มมากขึ้นของลัทธินอกรีตในฝั่งโปรแตสแตนท์ (ความเห็นผู้เขียน) เช่น ลัทธิที่เชื่อว่า ลูกชายตัวเองเป็นพระเมสิยาห์ / การฝักใฝ่ว่าตัวเองเป็นสองพยาน ฯลฯ
การฝึกฝนคาถา, แม่มด, ไสยศาสตร์ , ลัทธิซาตานเพิ่มมากขึ้น เช่น WitchTok มียอดผู้ดูมากกว่า 20 พันล้านครั้ง และ มีการเลียนแบบในการท่องมนต์ดำคาถา โดยคาถาเหล่านั้น เป็นการยอมรับการผูกมัดและเป็นทาสของซาตายโดยไม่รู้ตัว - การแทนที่ชีวิตด้วย ‘ความเท่าเทียม’
การยอมรับการทำการุณยฆาตเพิ่มขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะถือว่า ตัวเองมีสิทธิ์ในร่างกายของตัวเอง , การยอมรับให้ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ถูกตามกฏหมาย เช่น กัญชา , ใบกระท่อม ฯลฯ , การยอมให้มีการทำแท้งอย่างเสรี โดยอ้างเรื่องผลของจิตใจที่ถูกข่มขื่นมา , การยอมรับความเท่าเทียมในเรือนร่าง เช่น การเปิดเผยกิจกรรมทางเพศ , การประกอบอาชีพบริการทางเพศ
ในอเมริกา มีการจัดตั้งกลุ่มลัทธิซาตานหลังเลิกเรียนอย่างเปิดเผย โดยมีการนำรูป ‘บาโฟเมต’ มาบูชาและทำให้เป็นงานศิลปะที่เผยแพร่ในสาธารณะว่าสวยงามอย่างลึกลับ - เผยแพร่ความขัดแย้งและรุนแรง
ในยุคที่อินเทอร์เนตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงอีกซีกโลกหนึ่งในเวลาไม่ถึง 3 วินาที ราวกับว่า เราอยู่ในสถานการณ์นั้น และ เกิดความรู้สึกชิงชัง เคียดแค้นเหมือนเกิดขึ้นกับตัวเอราเอง
สงครามและการก่อการร้ายทำให้มนุษย์ชาติตกอยู่ในความหดหู่และสิ้นหวัง หวาดกลัวและสับสน
ทั้งหมดนี้ คือ เป้าหมายและแผนการณ์ของซาตาน ซึ่งแม้ว่ามันจะรู้ว่าในที่สุดมันจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ แต่ว่า มันไม่มีทางเลือก เพราะที่จริงแล้ว
ยุคสุดท้ายมิใช่ยุคที่ปีศาจรุ่งเรือง แต่เป็นยุคที่ปีศาจรู้ว่า เวลาของมันกำลังจะหมด มันจึงทุ่มเทหมดหน้าตัก เพื่อกอบโกยเอาจิตวิญญาณของมนุษย์ไว้กับพวกมันให้มากที่สุดนั่นเอง